ป. ; 40) ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับพดด้วงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยเงินพดด้วงมีลักษณะเกือบเป็นก้อนกลม มีตราประทับ 2 ตรา ที่ด้านบนเป็นตราธรรมจักร หรือจักร เป็นเครื่องหมายประจำแผ่นดิน ส่วนตราด้านหน้า เป็นเครื่องหมายประจำรัชกาล (อยุธยา, 2546: 274) ซึ่งกรมธนารักษ์ ( 2545: 48) ได้กล่าวถึง ตราที่ประทับบนพดด้วงในสมัยกรุงธนบุรีว่า "... ประทับตราพระแสงจักร เป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นตรา " ตรีศูล " หรือ " ตราทวิวุธ "
ศ.
เผยแพร่: 7 ก. ค.
ภายหลังจากที่อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง ดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ได้รวมตัวกันเป็นประเทศล้านช้างได้ตั้งเมืองหลวงและขยาย อาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง และมีระบบเงินตราร่วมกันโดยใช้เงินฮ้อยเงินลาด และเงินลาดฮ้อย นอกจากนั้นยังมีเงินฮาง และเงินตู้ จากประเทศอันนัมเข้ามาใช้ตามชายแดนด้วยเช่นกัน
ศ. 2317 ราคาข้าวเกวียนละ 10 ตำลึง หรือ 40 บาท ปัจจุบัน ราคาข้าวเกวียนละ 17, 000 บาท ลักษณะของเงินพดด้วงเป็นเงินตราที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจนคือ มีปลายขา 2 ข้าง งอเข้าหากันเป็นปลายแหลมและมีรอยบาก 2 ข้าง เป็นร่องลึกแสดงให้เห็นถึงแนวคิดด้วยการนำสัญลักษณ์มาประทับลงบนเงินพดด้วง บ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้องค์ประกอบและคุณค่าทางศิลปะมาพัฒนาผลิตเงินตรา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของ เงินพดด้วงด้วยวิธีการคิดที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของชนชาติไทยด้านเงินตราที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนเงินตราสกุลใดในโลก อ้างอิง ธนารักษ์, กรม. "กรุงธนบุรี (พ. 2310-2325), "ใน วิวัฒนาการเงินตราไทย. กรุงเทพฯ: สำนักบริหาร เงินตรา กรมธนารักษ์. ล้อม เพ็งแก้ว. เงินพดด้วงสมัยกรุงธนบุรี. ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 33 ฉบับที่ 11 กันยายน 2555 หน้า 32-35. ทองเจือ เขียดทอง, ฉลอง สุนทรนนท์ และสมัชชา อภิสิทธิ์สุขสันติ. (2558). สารานุกรมศิลปกรรมกรุงธนบุรี สำหรับเยาวชน ฉบับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์. หน้า 45-47. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี.
ศ. 2447 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากได้ทำสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้า เนื่องจากการค้ากับต่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว การผลิตเงินพดด้วงด้วยมือ จึงไม่ทันกับความต้องการพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชดำริ ที่จะใช้เครื่องจักรผลิตแทน เพื่อความรวดเร็วทางการค้า ทรงขอให้คณะทูตที่กำลังจะเดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ที่กรุงลอนดอน ติดต่อซื้อเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ในการผลิตเงิน จาก บริษัทเทเลอร์และชาลเลน และทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงงานขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพ. 2400 มีชื่อเรียกว่า " โรงกษาปณ์สิทธิการ "
2407 มี 2 ชนิด คือ ชนิดทองคำ ราคา 4 บาท และชนิดเงิน ราคา 4 บาท ส่วนการทำ สนธิสัญญาเบาว์ริง ส่งผลให้มีเงินต่างประเทศเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยมาก พอรัฐบาลให้ราษฎรใช้เงินเหรียญ ต่างก็เอาเงินบาทไปซ่อนไม่ยอมเอามาเสียภาษี ส่งผลให้เกิดการตัดขัดทางการค้าในช่วง พ. 2399-2400 รัฐบาลให้ช่างไปช่วยกงสุลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาผลิตเงินเหรียญ ไม่พอผลิตเงินบาท จึงให้คณะทูตที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีซื้อเครื่องจักรทำเงินเหรียญมาด้วย พอติดตั้งแล้วก็ผลิตเงินแบบเงินเหรียญ เรียกว่า "เงินแป" เงินแปมีตั้งแต่บาทหนึ่ง สองสลึง สลึงและเฟื้อง มีตราหน้าหนึ่งรูปพระมหาพิไชยมงกุฎอยู่กล้าง มีฉัตรอยู่สองข้าง มีกิ่งไม้เป็นเปลวแทกรอยู่ในท้องลาย อีกหน้าหนึ่งมีรูปจักร ใจกลางมีรูปช้าง รอบวงจักรชั้นนอกมีดาวแสดงมูลค่าของเงิน นอกจากนี้ยังผลิตเงินออกมาอีกแบบหนึ่ง ทำจากทองคำ มีราคาสิบสลึง ต่อมาก็ได้ผลิตเงินทำจากทองแดงออกมาอีกสองชนิด คือ ซีก และเสี้ยว